อาหารแสลง ที่ต้องห้ามสำหรับการรักษาโรค

อาหารแสลง ที่ต้องห้ามสำหรับการรักษาโรค

หลักสำคัญที่จะทำให้คนไข้สามารถหายจากอาการเจ็บป่วยได้ นอกจากการวางแผนรักษา และการให้ยาที่ถูกต้องในแต่ละโรคแล้ว การปฏิบัติตัวและทำตามคำแนะนำของหมอก็เป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน  โดยเฉพาะการรักษาด้วยการแพทย์แผนไทยนั้น มีข้อปฏิบัติและข้อห้ามต่างๆ มากมาย เช่น เรื่องอาหาร พฤติกรรมที่เรียกว่า แสลง ให้มีความเหมาะสมและถูกกับโรค ถ้าไม่ปฏิบัติตามหรือไม่ระวัง จะส่งผลให้อาการแย่ลงได้

 

อาหารแสลงที่ต้องห้ามสำหรับการรักษาโรค
อาหารแสลงที่ต้องห้ามสำหรับการรักษาโรค

เรามาดูอาหารและพฤติกรรมที่จัดว่าแสลง หรือเป็นข้อห้ามในการปฏิบัติตัวสำหรับการรักษาโรค ที่จะต้องทำความเข้าใจจุดประสงค์และเป้าหมาย โดยเฉพาะตัวของคนไข้เอง ที่หากนำไปปฏิบัติก็จะช่วยให้หายจากโรคที่เป็นอยู่ได้เร็วขึ้น

1. ไข้สูง ห้ามกินอาหารรสเผ็ดร้อน เปรี้ยว และมัน

เพราะไข้สูงเกิดจากธาตุไฟกำเริบ ทำให้ร่างกายมีความร้อนมากขึ้นกว่าปกติ ดังนั้นการกินอาหารที่มีรสเผ็ดร้อน เปรี้ยว และมัน จะเป็นตัวเสริมให้ความร้อนในร่างกายสูงขึ้น จึงแนะนำให้เลือกกินอาหารที่มีรสเย็น รสขมแทน เช่น ฟ้าทลายโจร บอระเพ็ด มะระขี้นก เพราะมีสารออกฤทธิ์ในกลุ่มแอลคาลอยด์

2. ไอเจ็บคอ ถ้ากินอาหารทอด อาหารมันและน้ำเย็น

โดยปกติแล้วการไอเป็นกลไกอย่างหนึ่งของร่างกาย เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่ติดหรืออุดกั้นบริเวณหลอดลมและปอด ดังนั้น กินอาหารทอดหรืออาหารที่มีความมันจะส่งผลให้หลอดลมเกิดการระคายเคืองตลอดเวลา จึงทำให้ร่างกายต้องมีการไอเพื่อเอาสิ่งแปลกปลอมนั้นออก และน้ำเย็นจะเป็นตัวกระตุ้นให้หลอดลมมีการหดตัว ทำให้มีอาการไอมากขึ้น

3. ท้องผูก ไม่ควรกินอาหารที่มีรสฝาด

เมื่อมีอาการท้องผูก เราควรกินอาหารที่มีรสเปรี้ยว ซึ่งมีสารแอนทราควิโนน เพื่อไปกระตุ้นการทำงานของลำไส้ให้มีการบีบตัว เช่น ใบมะขามแขก ใบมะขามยาดำ แต่ในทางตรงกันข้ามการกินอาหารที่มีรสฝาด ซึ่งมีสารแทนนิน เช่น เปลือกมังคุด ใบฝรั่ง ใบชา จะไปทำปฏิกิริยาตกตะกอนโปรตีน ยับยั้งเอนไซม์ในกระเพาะอาหาร ทำให้ไม่สามารถทำหน้าที่ในการย่อยได้ ส่งผลให้เกิดอาการท้องอืดท้องผูกตามมา

4. กินถั่วลิสง ไข่ ทำให้เกิดแผลเป็นนูน

แม้ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์บอกว่า โปรตีนเป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์กรดแอมิโนในกระบวนการสร้างคอลลาเจน เพื่อทำให้แผลหายเร็วขึ้น แต่การแพทย์แผนไทยก็ยังมีการห้ามกิน เพราะในอดีตกลัวว่าการกินโปรตีนที่มากจนเกินไปนั้น อาจจะส่งผลให้เกิดการซ่อมแซมของร่างกายมากเกินไป จนเป็นแผลคีลอยด์หรือแผลนูนแดง

5. อาหารที่ทำให้เกิดอาการคัน เช่น อาหารทะเล อาหารหมักดอง

อาการคันเกิดจากความผิดปกติของระบบน้ำเหลือง หรือระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งเกิดได้หลายกรณี เช่น ธาตุลม ลักษณะเป็นแผลพุพอง ธาตุไฟผิดปกติ ลักษณะเป็นแผลแห้ง ตกสะเก็ด การห้ามกินอาหารทะเล และอาหารหมักดอง จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย เช่น การแพ้สารไคตินจากเปลือกกุ้ง การแพ้สารเคมีที่ใช้ในอาหารหมักดอง

6. ท้องอืดท้องเฟ้อ ห้ามกินอาหารรสเย็น ขม ฝาด

โดยเฉพาะการกินผักสด ผลไม้ ที่มีรสเย็น เช่น ผักกาด ตำลึง หรือรสขมเย็น เช่น ใบย่านาง ฟ้าทลายโจร เพราะการกินในปริมาณมากเกินไป จะทำให้มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ โดยเฉพาะรสฝาดที่มีปฏิกิริยาต่อเอนไซม์ในกระเพาะอาหาร ทำให้มีอาการท้องอืดตามมา ถ้ามีอาการท้องอืด ควรกินอาหารหรือสมุนไพรที่มีรสร้อน เช่น กะเพรา ขิง ข่า อบเชย

7. ไข้ทับระดู ห้ามกินอาหารรสเผ็ดร้อนและรสเย็นจัด

อาหารรสเผ็ดร้อนนั้น มีผลทำให้ธาตุไฟในร่างกายสูงขึ้น โดยเข้าไปเร่งอุณหภูมิให้ร่างกายให้ร้อนขึ้นอีก ส่วนอาหารรสเย็นจัด เช่น แตงโม น้ำมันมะพร้าว รสเปรี้ยว สับปะรด น้ำส้มสายชู ถึงแม้ว่าความเย็นจะช่วยให้ความร้อนลดลงบ้าง แต่ถ้าเป็นรสเย็นจัดก็ควรต้องระมัดระวัง เพราะการพยายามทำให้ร่างกายเย็นลงอย่างรวดเร็ว จะส่งผลให้ธาตุในร่างกายแปรปรวน ทำให้อาการแย่ลง อีกทั้งความเย็นจะทำให้ธาตุลมไหลเวียนไม่สะดวก เกิดการหดรัดและหนาตัวของมดลูก จนอาจทำให้มีอาการปวดมากขึ้นไปอีก

8. ห้ามกินหน่อไม้

หน่อไม้เป็นอาหารแสลงในตำราแพทย์แผนไทย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคกระดูกและข้อ เพราะหน่อไม้มีสารพิวรีนสูง เป็นสารต้นแบบในการผลิตกรดยูริก ซึ่งถ้ามีมากไป ก็จะสะสมตามข้อต่างๆ ของร่งากาย ส่งผลให้เป็นโรคเกาต์ หรือมีอาการปวดข้อได้

9. ห้ามกินเครื่องในสัตว์

เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ กึ๋น หัวใจ ก็เช่นเดียวกัน เพราะมีปริมาณสารพิวรีนสูง ส่งผลโดยตรงกับคนที่เป็นโรคเกาต์ หรือมีอาการปวดข้อ ดังนั้นไม่แนะนำให้คนที่มีภาวะกรดยูริกในร่างกายสูงกิน