7 วิธีป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นผู้สูงวัย แบบฉบับคนญี่ปุ่น

7 วิธีป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นผู้สูงวัย แบบฉบับคนญี่ปุ่น

กลิ่นผู้สูงวัย หรือ Aging odor เป็นกลิ่นตัวของผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งกลิ่นที่เกิดขึ้นนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ผู้ชายจะมีโอกาสเกิดกลิ่นผู้สูงวัยได้มากกว่าผู้หญิง คนจำนวนมากจึงเรียกกลิ่นนี้ว่ากลิ่นคุณลุง ซึ่งกลิ่นผู้สูงวัยนั้นก็มีวิธีป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นได้เช่นกัน โดยในวันนี้เรามีวิธีป้องกันกลิ่นแบบฉบับคนญี่ปุ่นมาฝากกัน จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกันเลย

เช็ดเหงื่อบ่อย ๆ

เหงื่อที่หมักหมมก่อให้เกิดการเจริญของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว การเช็ดเหงื่อบ่อยๆ จึงเป็นวิธีหนึ่งที่ลดการเจริญของแบคทีเรียในการก่อให้เกิดกลิ่นตัวและกลิ่นผู้สูงอายุได้

แช่น้ำอุ่น

ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่ทำงานในห้องแอร์ซึ่งทำให้เหงื่อไม่ออก หากเหงื่อไม่ออกทำให้ต่อมเหงื่อทำหน้าที่ลดลงและส่งผลให้ของเสียที่เกิดขึ้นในร่างกายถูกสะสมที่ต่อมเหงื่อ การแช่น้ำอุ่นจะทำให้รูขุมขนเปิดและของเสียที่ต่อมเหงื่อจะออกมาจากรูขุมขนและลอยไปกับน้ำ หากไม่ชอบแช่น้ำอุ่น การออกกำลังกายให้เหงื่อออกก็เป็นวิธีการที่ดีในการขับของเสียที่สะสมอยู่ที่ต่อมเหงื่อออกจากร่างกาย

อาบน้ำหรือล้างทำความสะอาดร่างกายอย่างพิถีพิถัน

การอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายด้วยสบู่ที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียหรือสบู่ที่มีผลในการขจัดกลิ่นผู้สูงอายุ เช่น สบู่ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากลูกพลับและชาเขียวเป็นต้น เป็นวิธีที่ควรทำทั้งเช้าและเย็นเพื่อป้องกันกลิ่นผู้สูงอายุ

โดยบริเวณที่ควรล้างทำความสะอาดอย่างพิถีพิถันคือ บริเวณที่มีต่อมผลิตไขมันมาก เช่น หลังหู หลังคอ หน้าอก และหลัง เพื่อป้องกันการเจริญของแบคทีเรียที่เปลี่ยนกรดไขมันเป็นอัลดีไฮด์ชนิดไม่อิ่มตัว ซึ่งทำให้เกิดกลิ่นผู้สูงอายุดังกล่าวขึ้น

ไม่สูบบุหรี่

บุหรี่เป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มสารอนุมูลอิสระให้แก่ร่างกายและไปลดหน้าที่ทางเมแทบอลิซึมของร่างกาย ทำให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี และทำให้มีการสะสมของของเสียในร่างกาย ส่งผลในการเพิ่มกลิ่นเหม็นตามต่อมผลิตไขมันและทำให้ตัวเหม็น

รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินอี แคโรทีน และเส้นใยอาหาร

สารอนุมูลอิสระที่เพิ่มขึ้นในร่างกายจะทำให้ลิปิด เปอร์ออกไซด์เพิ่มขึ้น ลิปิด เปอร์ออกไซด์จะไปเร่งให้เกิดอัลดีไฮด์ชนิดไม่อิ่มตัว ซึ่งทำให้เกิดกลิ่นผู้สูงอายุตามมา ดังนั้นการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน C วิตามิน E และแคโรทีนจะมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ส่งผลช่วยลดการเกิดลิปิด เปอร์ออกไซด์ได้

  • อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีได้แก่ มะเขือเทศ บร็อคโคลี่ พริกหวาน มะนาว กีวี่ ส้ม และฝรั่งเป็นต้น
  • อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินอี ได้แก่ ฟักทอง อะโวคาโด มันเทศ หน่อไม้ฝรั่ง เลมอน กีวี่ องุ่น ถั่วต่างๆ ปลาแซลมอน และปลาไหลเป็นต้น
  • อาหารที่อุดมไปด้วยแคโรทีน ได้แก่ แครอท ฟักทอง และมะละกอเป็นต้น

นอกจากอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินอี และแคโรทีนแล้ว เส้นใยอาหารและอาหารหมัก ได้แก่ โยเกิร์ต นัตโตะ ผักดอง และกิมจิเป็นต้น ก็อุดมไปด้วยแลคติกแอซิดแบคทีเรียที่ช่วยลดจำนวนแบคทีเรียไม่ดี และช่วยปรับให้สิ่งแวดล้อมในลำไส้ดีซึ่งนำไปสู่การลดกลิ่นผู้สูงอายุด้วย

หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์หรือไขมันในปริมาณที่มากเกินไป

ไขมันสัตว์จะกระตุ้นให้ต่อมผลิตไขมันขับความมันส่วนเกินออกมา ซึ่งนอกจากจะยิ่งเสริมการเกิดกลิ่นผู้สูงอายุแล้วยังทำให้กลิ่นตัวเหม็นด้วย นอกจากนี้ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ทอดหรือใช้น้ำมันในปริมาณมาก เพราะกรดลิโนเลอิกในน้ำมันจะถูกเปลี่ยนเป็นคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ ที่จะถูกเปลี่ยนต่อไปเป็นลิปิด เปอร์ออกไซด์ในร่างกายและทำให้เกิดกลิ่นตัวผู้สูงอายุขึ้น

หลีกเลี่ยงการสะสมความเครียด

ความเครียดที่สะสมในร่างกายก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งนำไปสู่การส่งเสริมให้เกิดกลิ่นตัวผู้สูงอายุ โดยส่วนใหญ่คนที่มีกลิ่นตัวผู้สูงอายุมักจะไม่รู้ตัวว่ามีกลิ่นตัว ดังนั้นคนใกล้ชิดต้องกล้าที่จะบอกเพื่อให้แก้ไขก่อนที่จะเป็นปัญหากลิ่นตัวเรื้อรัง แม้ว่าน้ำยาดับกลิ่นกายจะหาซื้อได้ง่ายแต่ก็เป็นเพียงการดับกลิ่นแค่ชั่วคราว หากไม่อยากให้เกิดกลิ่นผู้สูงอายุขึ้นก็ต้องป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ ดังวิธีข้างต้น

แหล่งที่มา : www.sanook.com